วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระคุณของพ่อ

 
     หากจะกล่าวถึงผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนแต่อ้อมแขนของเขาก็อบอุ่นเสมอ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่บุคคลในฝันที่พร่ำเพ้อแต่ก็เป็นยอดมนุษย์ในดวงใจใครหลายๆคน ยามใดที่ทุกข์ท้อกำลังใจมากมายเขามีให้ ผู้ชายที่รักเราด้วยหัวใจ ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใคร เขาคือผู้ชายที่เราเรียกว่า “พ่อ”          
 
     ครอบครัวของฉันประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาวสองคนและฉัน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวของฉันมีมาก จึงทำให้พ่อต้องทำงานอย่างหนัก  ในตอนแรกพ่อของฉันปั่นจักรยานขายไอศกรีมแต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจทำให้เงินไม่พอที่จะเลี้ยงครอบครัว ในบ้านของฉันตอนนั้นเรียกได้ว่าข้าวสารแทบไม่มีกรอกหม้อ พ่อจึงอดอาหารเพื่อให้ฉันและพี่ๆได้อิ่ม พ่อของฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพไปทำงานที่โรงฆ่าสัตว์ เพราะรายได้ที่จะได้รับมากกว่า พ่อของฉันไม่ชอบฆ่าสัตว์ ฉันคิดว่าพ่อคงไม่อยากทำอาชีพนี้เท่าไรนัก พ่อฉันกล่าวว่า “พ่อรู้ว่างานนี้เป็นงานที่บาปแต่พ่อก็พร้อมที่จะทำเพื่อครอบครัวของพ่อ ขอให้เป็นอาชีพที่สุจริต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าพ่อเลือกเกิดได้พ่อก็อยากมีฐานะการเงินที่ดี ลูกๆของพ่อจะได้สบายแต่พ่อก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกๆของพ่อสบายและมีความสุข” หลังจากนั้นครอบครัวของฉันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พ่อจึงส่งฉันเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีๆ เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ลำบาก พ่อตัดสินในเลิกทำอาชีพนี้และนำเงินเก็บที่มีอยู่ดัดแปลงบ้านเปลี่ยนเป็นอู่ซ่อมรถเล็กๆ ร้านของพ่อไม่เคยมีวันหยุด แต่เมื่อใดที่พ่อมีเวลาว่าง พ่อมักจะสอนข้อคิดดีๆเสมอ โดยยกตัวอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับพ่อ ยกตัวอย่างเช่น พ่อสอนให้ฉันมองคนอย่างเท่าเทียมกันไม่เขาจะพิการ จน หรือ รวย แต่เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นในแบบที่เราต้องการได้ ชีวิตเราเราเป็นคนกำหนดเอง” ฉันยึดประโยคนี้เป็นคติประจำใจฉัน มันทำให้ฉันต้องปฏิบัติตนให้ดี  5 ปีผ่านไป ร้านซ่อมรถของพ่อขยายกิจการใหญ่ขึ้น แต่พ่อก็สอนฉันว่า อย่าลืมว่าเราเคยมาจากจุดๆไหน เมื่อเรามีมากขึ้นเราต้องรู้จักการให้คนที่มีน้อยกว่าเรา อย่าเบียดเบียนผู้อื่น ซื่อสัตย์  และที่สำคัญที่สุดคือ “พอเพียง” ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยให้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนเช่นไร รู้จักประมาณตนและมีเหตุผล  ตอนฉันเด็กๆ พ่อมักจะเล่าพระราชกรณียกิจต่างๆที่พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนชาวไทย พ่อบอกว่าเราไม่มีอะไรจะตอบแทนพระองค์ท่านได้นอกจากประพฤติตนเป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ ฉันตระหนักในทุกสิ่งที่พ่อทั้งสองได้ทำเพื่อฉัน เพื่อปวงชนชาวไทย ดังนั้นฉันจะนำคำสอนที่พ่อของฉันทั้งสองคนได้สอนฉันไว้ไปปฏิบัติ เพราะคงไม่ใครหวังดีกับฉันเท่ากับบุคคลสองท่านนี้อีกแล้ว          
 
     เปรียบพ่อดั่งผู้ถือหางเสือนาวาชีวิตให้หันเหไปตามกระแสน้ำแห่งความเมตตา ดั่งหัวรถจักรนำขบวนผู้โดยสารที่ร่วมชีวิตไปตามเส้นทางศีลธรรมที่ถูกต้องสู่สถานีแห่งความสำเร็จอย่างปลอดภัยและสง่างาม จะมีใครเล่าที่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูเราตั้งแต่เรายังเด็ก คอยป้อนอาหารป้อนน้ำ ทำงานหนักเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข คอยอยู่ข้างเรายามที่เราทุกข์หรือร้องไห้ ทำอย่างได้เพื่อเรา หยาดเหงื่อแรงกายของพ่อที่ทำเพื่อฉัน ฉันไม่สามารถหาอะไรตอบแทนคือพ่อได้ นอกจากตั้งใจเรียนหนังสือ ประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อของฉันมีความสุข ฉันจะทำให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าความการกระทำของฉันจะเป็นหนึ่งในล้านการกระทำทั้งหมดที่พ่อทำเพื่อฉันก็ตาม และคงไม่มีรักไหนที่ยิ่งใหญ่เท่ากับรักของพ่อตราบชั่วนิรันดร์        
 
บุญคุณพ่อเปรียบพ่อมหาสมุทร  เป็นที่สุดแห่งรักอันยิ่งใหญ่
ยกคุณพ่อบูชาไว้ในหัวใจ  สัญญาไว้ลูกจะกตเวที"
 
 
 

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติประเทศไทย

การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมักเริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[1] ตลอดจนหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณเป็นจำนวนมาก
ภูมิภาคสุวรรณภูมิเคยถูกชาวมอญ เขมรและมาเลย์ปกครองมาก่อน ต่อมา คนไทยได้สถาปนาอาณาจักรของตนเอง เช่น อาณาจักรสุโขทัย ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรเชียงแสน และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นประมาณ 200 ปี ก็ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีดสุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310
พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองพระองค์เดียว กินระยะเวลาเพียง 15 ปี แล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงรัตนโกสินทร์ยังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งรัชกาลที่ 4
การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษหลายครั้ง แต่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น แต่ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา มีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และมีการสืบทอดอำนาจรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กลอนรัก


เพียง…รักเธอ

เพียงรักแรก……..แรกรักประทับจิต
เพียงใจคิด……..คิดน้อยใจเฝ้าคอยฝัน
เพียงใจฝาก……..ฝากใจส่งให้ถึงกัน
เพียงแต่ฝัน…….ฝันแต่ว่าจะได้เจอ
เพียงสบเนตร……..เนตรสบก็พบรัก
เพียงพบพักตร์…….พักตร์พบกันใจพลันเผลอ
เพียงบอกรัก……..รักบอกใจให้ละเมอ
เพียงแต่เพ้อ……….เพ้อหลงใหลใจพะวง
เพียงได้เจอ……..เจอได้ไม่รั้งรอ
เพียงแค่ขอ……….ขอแค่มีเธออยู่ใกล้
เพียงกลัวรัก………รักกลัวต้องห่างไกล
เพียงไกลกาย……..กายไกลใจใกล้เธอ

นิทานพื้นบ้านความยุติธรรม






นิทานพื้นบ้าน – ความยุติธรรม


just.gif (3804 bytes)
มีครอบครัวหนึ่งพ่อชื่อทอง แม่ชื่อเข็ม นายทองมีลูกสาวสวยอยู่ 2 คน
คนพี่ชื่อกอง คนเล็กชื่อผอง ปกตินายทองเป็นคนที่หวงลูกสาวมาก สาวกอง
และสาวผองมักจะมีหนุ่มมาจีบสับเปลี่ยนวันกันประจำ คือถ้าวันนี้เป็นของสาวกอง
พรุ่งนี้ก็เป็นวันของสาวผอง พวกหนุ่มๆในหมู่บ้านนั้นก็เข้าใจ
แฟนของสาวกองนั้นดีดพิณ แฟนของสาวผองเป่าแคน แต่คืนวันนั้นได้ยินทั้ง
เสียงแคนและเสียงพิณ พี่น้องเลยเกี่ยงกันเข้านอน นายทองจึงโมโหไล่ลูกสาวเข้านอนทั้งสองคน
หนุ่มๆก็ไม่พอใจ พอตกดึกหนุ่มหนึ่งเลยแอบขึ้นไปบนบ้านแล้วขี้ใส่ไว้บนเขียงในครัว
พี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าต่างก็เกี่ยงกันทำความสะอาด ต่างก็โทษว่าแฟนของอีกฝ่าย
เป็นคนขี้ พ่อแม่ได้ยินจึงลุกออกมาดู นายทองเดินไปเอามีดโต้มาแล้วฟันฉับลงไป
ตรงกลางขี้พร้อมกับพูดว่า

“อีกองเมี่ยนส่วนนี้ อีผองเมี่ยนส่วนนั้น แม่มึงล้างเขียง กูสิล้างมีด ไป๊”

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

10 ประเทศอาเซียน


ประเทศอาเซียน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก flagspot.net , สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 

          ในสภาวะแห่งยุคทุนนิยม ที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับประเทศต่าง ๆ นั้นอยู่รวมกันเป็นสังคมโลก ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันของประเทศในแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและพัฒนาประเทศในภูมิภาคไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน จึงได้มีข้อตกลงให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)

          แต่ก่อนที่เราจะมาดูเนื้อหาสาระของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนี้ เราจะมาย้อนดูกันรวมตัวกันของประเทศในอาเซียนว่ามีการรวมตัวกันได้อย่างไร จนมาเป็นอาเซียนในปัจจุบัน 

          โดยอาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ พ.ศ. 2538  ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ.2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ พ.ศ. 2542  ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ

 รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน 


บรูไน


1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 

          ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลของประเทศบรูไนได้ที่นี่ 


กัมพูชา

2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

          เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้

           อ่านข้อมูลประเทศกัมพูชา ได้ที่นี่ 


อินโดนีเซีย


3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

          เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศอินโดนีเซีย ได้ที่นี่ 


ลาว

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

          เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 

           อ่านข้อมูลประเทศลาว ได้ที่นี่ 


มาเลเซีย


5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

          เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศมาเลเซีย ได้ที่นี่ 

ฟิลิปปินส์


6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

          เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศฟิลิปปินส์ ได้ที่นี่ 


สิงคโปร์


7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

          เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

           อ่านข้อมูลประเทศสิงคโปร์ ได้ที่นี่ 


ประเทศไทย


8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

          เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

           อ่านข้อมูลประเทศไทย ได้ที่นี่ 


เวียดนาม

9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

          เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

           อ่านข้อมูลประเทศเวียดนาม ได้ที่นี่ 


ประเทศพม่า


10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

          มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ 

           อ่านข้อมูลประเทศพม่า ได้ที่นี่ 



ประเทศอาเซียน

          ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งมีการวางกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างความเข็มแข็ง รวมถึงความมั่นคงของประเทศสมาชิกทั้งด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้วางแนวทางก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำขวัญคือ  "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม" (One Vision, One Identity, One Community) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประชาคม คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community : APSC)  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community : ASCC)

          โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. 2009-2015) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประชาคมอาเซียนประกอบด้วยเสาหลัก 3 เสา ดังต่อไปนี้

           1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  (ASEAN Security Community – ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

           2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน โดย

                มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

                ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

                 ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

                ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน
    
          กลุ่มสินค้าและบริการนำร่องที่สำคัญ ที่จะเกิดการรวมกลุ่มกัน คือ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ /อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน) กำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ โดยผ่อนปรนให้กับประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียตนาม สำหรับประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)


ความร่วมมือ


           3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม

          สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่น ๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในประชาคมอาเซียน

กลอนกวนๆ


ฎีกาจาก...หมา

นอนอยู่ใต้ถุนบ้านพลันแว่วเสียง
เป็นสำเนียงตวาด  "ไอ้ชาติหมา"
ลุกทะลึ่งหูตั้งฟังวาจา
เก็บเอามาสงสัยในใจตน

เขาด่าเราทำไมไฉนนี่
ฟังอีกทีเสียงด่ามาอีกหน
อ้อ.! ไม่ใช่ ด่าเราเขาด่าคน
แต่ด่าปนกับหมาว่าเปรียบเปรย

เสียงเขาว่าทำตัว  "ชั่วเหมือนหมา"
อนิจจา ! หมาชั่ว หรือท่านเอ๋ย
เรียกค่าถ่ายขายยาบ้าหมาไม่เคย
แน่นอนเลยปล้นฆ่าหมาไม่เป็น

เรื่องใส่ร้ายนินทาว่าชาวบ้าน
เรื่อหน้าด้านโกงใครไม่เคยเห็น
ชีวิตหมายากแค้นแสนลำเค็ญ
กินข้าวเย็นก้นหม้อก็พอใจ

ให้อาหารหมาเลียไม่เสียเปล่า
กลางคืนเฝ้าคุ้มครองข้าวของให้
เรื่องซื่อสัตย์ประเสริฐเลิศกว่าใคร
แล้วทำไมมาด่าว่าหมาเลว

โลกเดือดร้อนวุ่นวายเพราะใครหวา
คนหรือหมามันทำให้แหลกเหลว
ทิ้งระเบิดใส่กันเป็นควันเปลว
รอบข้างเอวฆ่าฟันกันวุ่นวาย

" ไอ้ชาติคน "  ทำกันทั้งนั้นแหละ
เอามาแปะให้หมาว่าเสียหาย
ยมบาลเจ้าขาอย่าดูดาย
ถ้ามันตายเอาตกนรกที

โอกาสนี้วอนขอคุณหมอด้วย
โปรดจงช่วยเมตตาอย่าหน่ายหนี
ขอให้ช่วยฉีดยาให้หมาฟรี
จะได้มีหมาอยู่คู่โลกา

เดี๋ยวนี้ไม่ฉีดยาเขาฆ่าหมด
หมาก็หดหายไปโถ! ไม่น่า
นี่หรือเราชาวพุทธสุดระอา
"แผ่เมตตา"  แต่ปาก ไม่อยากฟัง

ฎีกานี้ส่งให้ใครดีหนอ
ให้หลวงพ่อหลวงพี่ที่จะขลัง
ถ้าส่งไป  "ท่าแร่"  แย่กระมัง
เพราะเขาดังเรื่องฆ่า-เอาหมากิน

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

100 โรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทย


100 อันดับโรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ลำดับโรงเรียนในประเทศไทยที่ดีที่สุดโดยวัดจากผลเอนทรานซ์ โควตารับตรงโอลิมปิกวิชาการ
 1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
 2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
 3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
 4. โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)
 5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
 6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง
 7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา
 8. โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน
 9. โรงเรียนอัสสัมชัญ
 10. โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
 12.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี
 13.โรงเรียนสตรีวิทยา
 14.โรงเรียนเทพศิรินทร์
 15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี
 16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่
 17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
 19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย
 20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
 23.โรงเรียนนครสวรรค์
 24.โรงเรียนหอวัง
 25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
 26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี
 28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น
 29.โรงเรียนสตรีวิทยา2
 30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่
 31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
 32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น
 33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี
 34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
 35.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง
 36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี
 37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
 38.โรงเรียนโยธินบูรณะ
 39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
 40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
 41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
 42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
 43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
 44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี
 45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
 46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
 47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา
 48.โรงเรียนศึกษานารี
 49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก
 50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร
 51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน
 52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
 53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี
 54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนด์
 55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา
 56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
 57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ
 58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์
 59.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.สตูล
 60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์
 61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
 62.โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์)2
 63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
 64.โรงเรียนชลราษฎรอำรุง
 65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
 66.โรงเรียนพัทลุง
 67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม
 68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี
 69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
 70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา
 71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์
 72.โรงเรียนเซนต์โยเชฟคอนแวนด์
 73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง
 74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม
 75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม
 76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี
 77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
 78.โรงเรียนระยองวิทยาคม
 79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทรบุรี
 80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
 81.โรงเรียนทวีธาภิเศก
 82.โรงเรียนชลกันยานุกูล
 83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม
 84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา
 85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย
 86.โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร
 87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
 88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง
 89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย
 90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
 91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา
 92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี
 93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร
 94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี
 95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี
 96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
 97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช
 98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลย์บำเพ็ญ) ม.บูรพา
 99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี
 100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า

สัญลักษณ์อาเซียน


สัญลักษณ์อาเซียน
ศูนย์อาเซียนศึกษาโรงเรียนอนุบาลสบปราบ

       ตราสัญลักษณ์  สัญลักษณ์เป็นรวงข้าวสีเหลือง 10 มัด หมายถึง การที่ประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศรวมกันเพื่อมิตรภาพและ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  พื้นที่วงกลมสีแดง ขอบสีขาวและน้ําเงิน ซึ่งแสดงถึงความ เป็นเอกภาพ มีตัวอักษรคําว่า "asean" สีน้ําเงินอยู่ใต้ภาพ อันแสดงถึง ความมุ่งมั่นที่จะทํางานร่วมกันเพื่อความมั่นคง สันติภาพ เอกภาพ และ ความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน

                                         สีทั้งหมดที่ปรากฏในสัญลักษณ์ของอาเซียนเป็นสีสําคัญที่ปรากฎ ในธงชาติของแต่ละ
                                  ประเทศสมาชิกอาเซียน โดย

                                  สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง

                                  สีแดง    หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า

                                  สีขาว    หมายถึง ความบริสุทธิ์ สีเหลือง หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง

                                          สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
       ธงอาเซียน    ธงอาเซียนแสดงถึงเสถียรภาพ สันติภาพ ความสามัคคี และพลวัติของอาเซียน สีของธงได้แก่  น้ำเงิน แดง ขาว และเหลือง  ซึ่งแสดงถึง สีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด
       ่ีน้ำเงินแสดงถึงสันติภาพและเสถียรภาพ  แดงบ่งชี้ความกล้าหาญและการก้วหน้าิ  ขาวแสดงความบริสุทธิ์  เหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง
       รวงข้าว แสดงถึงความใฝ่ฝันของบรรดาผู้ก่อตั้งอาเซียน ให้มีอาเซียนที่ประกอบด้วยบรรดาประเทศทั้งหทดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผุกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
       วงกลมแสดงถึงเอกภาพของอาเซียน


       ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน  ภาษาอังกฤษ

       อัตลักษณ์ของอาเซียน  อาเซียนต้องส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกันของตนเองและความรู้สึก เป็นส่วนหนึ่งในหมู่ประชาชนของตน  เพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน

       คำขวัญของอาเซียน        "One Vision, One Idenity, One Community"
                                               "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม"

       วันอาเซียน                        วันที่ 8 สิงหาคม

       เพลงประจำอาเซียน        เพลง The  ASEAN  Way (แต่งเพลงโดยคนไทย)

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น


ประวัติ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เปิดมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ในปี พ.ศ. 2484 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล โดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายและโครงการที่จะขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาสู่ส่วนภูมิภาค สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ในระหว่างนั้น ได้เกิดสงครามเอเชียบูรพา ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องตัดสินใจเข้าร่วมกับญี่ปุ่นต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร จึงทำให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยุติลงในปี พ.ศ. 2503 รัฐบาลซึ่งมี จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทบทวนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนี้อีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 จึงได้มีมติให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูง ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรศาสตร์ขึ้น ที่จังหวัดขอนแก่น เสนอชื่อสถาบันแห่งนี้ว่า "สถาบันเทคโนโลยีขอนแก่น" และเสนอชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Khon Kaen Institute of Technology" มีชื่อย่อว่า K.I.T. หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อสถาบันนี้เป็น "มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" มีชื่อย่อว่า "North-East University หรือ N.E.U" เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีหน่วยราชการใด ที่จะรับผิดชอบการดำเนินการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยตรง รัฐบาลจึงได้มีมติให้สภาการศึกษาแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบในด้านการหาสถานที่ จัดร่างหลักสูตร ตลอดจนการติดต่อความช่วยเหลือจากต่างประเทศ [3]
ในปี พ.ศ. 2506 คณะอนุกรรมการได้ตกลงเลือกบ้านสีฐานเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยในเนื้อที่ ประมาณ 5,500 ไร่ ห่างจากตัวเมืองขอนแก่น 4 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ได้มีการลงรกฐานก่อสร้างอาคาร "คณะวิทยาศาสตร์ - อักษรศาสตร์"[4] สำนักงานจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ได้รับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรุ่นแรก ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2507[5]จำนวนทั้งสิ้น 107 คน โดยแยกเป็นนักศึกษาเกษตรศาสตร์ 49 คน และวิศวกรรมศาสตร์ 58 คนโดยฝากเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน)
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เปลี่ยนชื่อ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็น "มหาวิทยาลัยขอนแก่น"[1] ตามชื่อเมืองที่ตั้ง และได้โอนกิจการจากสำนักงานสภาการศึกษาแห่งชาติไปเป็นของมหาวิทยาลัยขอนแก่นในปี พ.ศ. 2508 ปีถัดมาคือ พ.ศ. 2509 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2509 ซึ่งถือเป็น วันสถาปนามหาวิทยาลัย อีกทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัย จอมพล ถนอม กิตติขจร และนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่นในขณะนั้น ได้ประชุมสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น และพิจารณาแต่งตั้งให้:
  1. ฯพณฯ พจน์ สารสิน เป็นอธิการบดี
  2. ศาสตรจารย์ พิมล กลกิจ เป็นรองอธิการบดี ผู้รักษาการคณบดีคณะวิทยาศาสตร์-อักษรศาสตร์ และผู้รักษาการคณบดีเกษตรศาสตร์
  3. ศาสตราจารย์ ดร. วิทยา เพียรวิจิตร เป็นผู้รักษาการคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์
และในปีเดียวกันนี้ ได้ย้ายนักศึกษาที่ฝากเรียนไว้ที่คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน) มาศึกษาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในสถานที่ปัจจุบัน ต่อมาในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ

5 ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก



แปลและเรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณภาพประกอบจาก neatorama.com

        บนโลกใบนี้มีเรื่องที่น่ารู้มากมาย หลายๆ คนอาจจะสนใจเรื่องที่เป็นที่สุดในโลก วันนี้กระปุกเราเลยไม่พลาดที่จะนำเรื่องที่เป็นที่สุดมานำเสนอให้ได้อ่านกันค่ะ นั่นแน่! อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรที่สุด ก็เรื่องประเทศที่เล็กที่สุดในโลกน่ะสิคะ ตามมาดูกันเลยค่ะ ว่าจะมีประเทศที่คุณรู้จักกันบ้างไหม...

 1. นครรัฐวาติกัน        นครรัฐวาติกัน เป็นประเทศศูนย์กลางของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี มีเนื้อที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร (เล็กมากๆ ) มีประชากรทั้งหมดเพียงแค่ 783 คนเองค่ะ ซึ่งล้วนแต่เป็นบาทหลวง, นักบวช และเจ้าหน้าที่ที่นับถือนิกายคาธอลิคล้วนๆ ค่ะ

        ถึงแม้จะเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก แต่ก็เป็นที่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกของชาวศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค เพราะเป็นที่พำนักของพระประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายนี้ และเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ อะไรก็ตามของชาวคาธอลิค ก็มักจะจัดขึ้นที่นี่เสมอ

        นครรัฐแห่งนี้ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2472 ภายใต้สนธิสัญญา Lateran ( ซึ่งถุกอนุมัติโดย เบนิโต มุสโสลินี หนึ่งในนักเผด็จการชื่อดังของโลก) และปกครองแบบอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งนิติบัญญัติ, บริหาร และตุลาการโดยพระสันตะปาปา

        นครรัฐวาติกันไม่มีประชาชนถาวร สถานะการเป็นประชาชนของที่นี่ คือ การเข้ามาทำงานในหน้าที่ต่างๆ ในนครรัฐ (รวมไปถึงคู่สมรสและบุตรธิดาของเจ้าหน้าที่คนนั้น) และสถานะการเป็นประชากรของนครรัฐจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดวาระการทำงาน

        ที่แห่งนี้คุ้มครองเขตรัฐโดยทหารสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่มีชื่อเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยทหารเหล่านี้จะเป็นชายชาวสวิส ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค และยังไม่แต่งงานเท่านั้นค่ะ 

        ภาษาหลักของที่นี่ คือ ภาษาอิตาเลียนและภาษาละติน และที่สุดยอดไปเลย คือ ที่นี่เป็นที่แห่งเดียวในโลกที่ตู้เอทีเอ็มนั้นเป็นภาษาลาติน!! มากไปกว่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งหนึ่งในโลกที่มีจดหมายเข้ามากที่สุด และส่งถึงมือผู้รับเร็วที่สุดในโลกก็ว่าได้ และเป็นที่ที่ส่งจดหมายออกมากที่สุดอีกแห่งของโลกด้วย (1 คน ส่งจดหมาย 7,200 ฉบับ ต่อปี)

        ความสุดยอดไม่ได้มีเพียงเท่านั้น นครรัฐวาติกันยังมีความสุดยอดในเรื่องเทคโนโลยีอีกด้วย เพราะมีชื่อโค้ดโดเมนเนมเป็นของตัวเอง .va ถึง 9 โดเมนเนม (เชื่อว่าหลายๆ ประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าวาติกันยังไม่มีเป็นของตัวเองเลย) และมีสถานีวิทยุที่ชื่อว่า "Vatican Radio" ซึ่งจัดรายการโดยเจ้าพ่อวิทยุ Guglielmo Marconi ซะด้วย เท่ซะไม่มี...

        และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงสงสัยว่านครรัฐวาติกันมีรายรับมาจากไหนกันน๊า เพราะประเทศแห่งนี้ไม่ได้มีการค้า หรือการพาณิชย์ใดๆ กับประเทศภายนอก และแม้กระทั่งภายในประเทศเลย คำตอบง่ายๆ คือ ประเทศแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนรายได้ที่มาจากการขายสแตมป์, หนังสือ และรายได้จากการท่องเที่ยว จากชาวคาธอลิคทั่วโลกนั่นเองค่ะ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ที่นครรัฐแห่งนี้ ไม่มีการเก็บภาษีค่า



2. ราชรัฐโมนาโก
        เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ ประเทศโมนาโก มาบ้าง ก็ประเทศนี้มีทั้งเจ้าชาย เจ้าหญิง หล่อๆ สวยๆ และมีพระปรีชาสามารถเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกหลายพระองค์ ยกตัวอย่าง เช่น เจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ที่ทรงพระสิริโฉมงดงาม เจ้าหญิงแคโรลีนพระธิดาในเจ้าหญิงเกรซที่ทรงพระสิริโฉมงดงามไม่แพ้พระมารดา ตามมาด้วย เจ้าหญิงสเตฟานี พระขนิษฐาผู้ทรงโฉมเช่นกัน และ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งโมนาโก ผู้ซึ่งเป็นพระธิดาของเจ้าหญิงแคโรลีน ก็ทรงพระสิริโฉมงดงามไม่แพ้พระมารดาและพระมาตุจฉา เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เจ้าชายเรนีเย่ เจ้าชายอัลเบิร์ต และเจ้าชายเรนีย่ที่ 3 ที่ทรงวพระปรีชาสามารถในการปกครองประเทศให้เป็นประเทสที่มั่งคั่งที่สุดอีกประเทศในโลก (หลังจากเคยเป็นแค่ราชรัฐหนึ่งของฝรั่งเศส) เป็นต้น แถมยังมีชื่อเสียงมาจากการจัดการแข่งรถกรังปรีซ์ ในชื่อ Monaco Grand Prix และยังมีเขตกาสิโนชื่อดังที่มีชื่อว่า Monte – Carlo อีกต่างหากค่ะ

        ประเทศโมนาโก เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากนครรัฐวาติกัน โดยมีพื้นที่ 1.96 ตารางกิโลเมตร อยู่ตรงชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน แต่เป็นประเทศที่มีประชากรต่อพื้นที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 23,660 คนต่อตารางกิโลเมตร ในอดีต ประเทศแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เจ้าชายเรนีเย่ที่ 3 ได้ยื่นขอต่อสหประชาชาติ เพื่อเข้าร่วมองค์กร และได้รับการอนุมัติ จึงได้อิสระ (แบบไม่ถาวร) จากฝรั่งเศสนับแต่บัดนั้น หากแต่ถ้าโมนาโกไม่มีผู้สืบสันตติวงศ์ต่ออีกแล้ว ประเทศแห่งนี้ก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้ปกครองต่อฝรั่งเศสตามเดิมค่ะ ดังนั้น จึงมีการแก้กฎหมายจากเดิมว่า ผู้สืบทอดราชวงศ์ต้องเป็นเจ้าชายเท่านั้น เป็นให้ขัตติยนารีสามารถขึ้นครองราชย์ได้ด้วย เพื่อแก้ปัญหาการต้องกลับเข้าไปอยู่ใต้ปกครองเหมือนเดิม
        ประเทศแห่งนี้ปกครองด้วยระบบประมุขและสภาแห่งชาติ มีรายได้หลักจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานบันเทิง สถานกาสิโนและการแข่งรถนานาชาติ และเนื่องจากเมื่อก่อนโมนาโกไม่มีการเก็บภาษี ประชากรส่วนมากจึงไม่ใช่ชาวพื้นเมือง แต่หลังจากการแยกตัวจากฝรั่งเศส ก็ได้มีการเก็บภาษีรายได้จากผู้ที่ไม่ใช่ชาวโมนาโกโดยกำเนิด พูดง่ายๆ คือนักธุรกิจที่มาลงทุนและพักอาศัยอยู่ในโมนาโก และมีกฎห้ามชาวโมนาโกโดยกำเนิดเข้ากาสิโน แต่ยกเว้นภาษีจากพวกบุคคลเหล่านี้แทน


 3. สาธารณรัฐนาอูรู        ประเทศนาอูรูเป็นประเทศที่อยู่บนเกาะ ตั้งอยู่บนทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิค มีขนาด 21 ตารางกิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเอกราชเป็นของตัวเองที่เล็กที่สุดในโลก และเป็นประเทศเอกราชเดียวที่ไม่มีเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ

        ในอดีตรายได้หลักของประเทศมาจากแร่ฟอสเฟต ที่เกิดมาหลายพันปีจากขี้นก (เหลือเชื่อมากๆ) มีการส่งออกแร่ฟอสเฟตในอัตราที่สูงมาก จึงส่งผลให้ประชากรของที่นี่กินดีอยู่ดี เรียกกันได้ว่า ได้ดีเพราะขี้นกจริงๆ อิอิ

        รัฐบาลมีการจ้างงานประชาชนถึง 95 เปอร์เซนต์ ให้สวัสดิการการรักษาโรคและการศึกษาฟรีแก่ประชากรในประเทศ พูดได้เลยว่าที่นี่เป็นเหมือนกับสวรรค์น้อยๆ บนผืนดิน เพราะเป็นประเทศที่ประชากรร่ำรวยติดอันดับในโลกเลยทีเดียว ถึงขั้นที่ว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ ของประเทศมักจะนั่งเครื่องของ Air Nauru ไปเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์เสมอๆ
        อย่างไรก็ตาม แร่ฟอสเฟตที่ดูเหมือนจะเป็นบ่อเงินบ่อทองสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับชาวนาอูรู เนื่องจาก ผืนดินสะสมแร่ฟอสเฟตมากจนเกินไป จนแห้งแล้งและไม่สามารถปลูกพืชผลใดๆ ได้ ทั้งการลงทุนที่เปล่าประโยชน์ของประเทศ เช่น การไปซื้อกิจการโรงแรมแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไร้ประโยชน์ รวมถึงการขาดคุณสมบัติในการปกครองบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจของนาอูรูแย่ลง เหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งทวีคูณหนักเข้าไปอีก เพราะภาวะการกินอยู่ที่เคยอุดมสมบูรณ์มาก ก่อให้เกิดภาวะโรคอ้วนกับประชากรในประเทศ ประชากร 9 ใน 10 คนมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน นาอูรูกลายเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นโรคเบาหวานในอัตราสูงมากประเทศหนึ่งในโลกเลยทีเดียว 
        ดังนั้นในปัจจุบัน ชาวนาอูรูจึงมีความอัตคัตขัดสนมากๆ และยังมีภาวะโรคอ้วนด้วย แต่พวกเขาก็ได้พยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น รัฐบาลนาอูณูตัดสินใจเก็บภาษีและ ออกพาสปอร์ตให้กับชาวต่างชาติแลกกับเงินตราเพื่อมาหมุนเวียนภายในประเทศ  แต่การแก้ปัญหานี้กลับลากตัวปัญหา เช่นพวกอาชญากรข้ามชาติเข้ามาในประเทศเพื่อฟอกเงินทุจริต และด้วยเหตุนี้เองนาอูรูก็ต้องประสบกับปัญหาใหญ่หลวง คือ ธนาคารใหญ่ระดับโลกหลายแห่งไม่ยินดีรับเงินที่นาอูรูจะมาฝากไว้ เนื่องจาก เงินเหล่านั้น อาจจะสร้างปัญหาแก่ธนาคารได้


  4. ตูวาลู
        ประเทศตูวาลูเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะ ในมหาสมุทรแปซิฟิคทางตอนใต้ มีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 26 ตารางกิโลเมตร ลักษณะประเทศจะเป็นหมู่เกาะที่เกิดขึ้นจากหินปะการัง และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 5 เมตร มีคำกล่าวอ้างว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศนั้นจะหายไปจากแผนที่โลกอย่างแน่นอน เนื่องจากระดับน้ำทะเลโลกที่สูงขึ้นนั่นเอง และหากน้ำทะเลจะไม่สูงขึ้น แต่ภาวะการเพิ่มขึ้นของประชากรและการกัดเซาะชายฝั่งก็ยังทำให้ใ ตูวาลู เป็นประเทศเสี่ยงต่อภัยต่างๆ อยู่ดี
        ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตูวาลูเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพของทหารอเมริกัน ที่เข้ามาสร้างทั้งฐานทัพ สนามบิน ซึ่งคุณสามารถเห็นซากปรักหักพังในปัจจุบันของสิ่งเหล่านี้ได้บนเกาะต่างๆ ของตูวาลู

        ทุกวันนี้ ตูวาลูมีรายได้หลักจากการให้เช่าโดเมนเนม .tv ที่เป็นโดเมนเนมระดับท็อปของโลก เพราะคนเข้าใจว่ามันเป็นตัวย่อมาจากคำว่า Television และรายได้จากสัมปทานการประมง รวมไปถึงเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ


 5. สาธารณรัฐซานมาริโน
        ประเทศซานมาริโน ตั้งอยู่ในเขตประเทศอิตาลี บนเทือกเขาแอเพนไนน์ ใกล้ชายฝั่งอาเดรียติก  มีขนาดพื้นที่ 61 ตารางกิโลเมตร หากคุณได้รู้จักชื่อเต็มของประเทศนี้ ก็เดาได้ทันทีว่าประเทศแห่งนี้มีความมนต์เสน่ห์ ความสวยสดงดงามเพียงแค่ไหน นั่นแน่ อยากรู้แล้วล่ะสิว่าชื่ออะไร ก็ชื่อ"Serenissima Repubblica di San Marino" ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "The Most Serene Republic of San Marino" นั่นเองค่ะ

        ซานมาริโนก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 844 โดยนักตัดหินชาวคริสต์ นามว่า "มาริโน"  ได้ลี้ภัยทางศาสนามากับกลุ่มชาวคริสต์กลุ่มหนึ่ง

        ความเชื่อที่สำคัญของชาวซานมาริโน คือ อิสรภาพ ชาวซานมาริโนเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และกองทัพใหญ่ๆ ไม่สามารถรุกรานอธิปไตยจะได้เนื่องมาจากที่ตั้งของประเทศอยู่บนเขา  ดูตัวอย่างตอนที่นโปเลียนประกาศความเป็นใหญ่ในทวีปยุโรป ประเทศเดียวที่ไม่ตกอยู่ใต้การปกครองของนโปเลียนคือ ซานมาริโน นี่เอง

        ซานมาริโนมีระบบการปกครองที่ซับซ้อนมาก โดยมีการปกครองแบบสาธารณรัฐโดยสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกตัวแทนจากสภามาจำนวน 2 คน มาเป็นผู้สำเร็จราชการร่วม หรือประมุขของประเทศอยู่ในตำแหน่งวาระ 6 เดือน และสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกคณะรัฐบาล มาบริหารประเทศวาระละ 5 ปี


        ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซานมาริโนกลายเป็นประเทสที่ยากจนที่สุดในยุโรป แต่ในทุกวันนี้ ประชากรชาวซานมาริโนกลายมาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง เนื่องมาจากการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศกว่า3 ล้านคนต่อปี